การปฏิรูปการจัดการศึกษาเชิงระบบของกระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนคิดทั้งระบบ
โดย สุรพงศ์ งามสม ประธานเครือข่ายครู EIS แห่งประเทศไทย
ถ้าหากทุกคนหันกลับคิดว่ากระทรวงศึกษาธิการเปรียบเสมือนโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยที่มีขนาดใหญ่ เป้าหมายสูงสุดสำคัญที่สุดคือประชาชนทุกคนในชาติได้รับการบริการด้านการศึกษาให้เป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเปรียบเสมือนครูใหญ่ พรบ.การศึกษาแห่งชาติพ.ศ.๒๕๔๒ เปรียบเสมือนหลักสูตรแกนกลางหรือพิมพ์เขียวที่รมต.จะต้องเป็นผู้นำ(Leader) ของบุคลากรทั้งมวลในกระทรวงศึกษาธิการให้นำหลักสูตรแกนกลาง (พรบ.) มาดำเนินการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ให้สอดคล้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรนั้น (พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ๒๕๔๒) ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงนโยบายของรัฐบาล และรัฐธรรมนูญการปกครองของประเทศด้วย ซึ่งสามารถแสดงแผนผังการดำเนินงานของศธ.เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึงความเกี่ยวข้องของหน่วยงานต่างๆได้ดังนี้
ถ้ากระทรวงศึกษาธิการโดย รมต.ศธ.ได้ใช้ภาวะผู้นำทำให้หน่วยปฏิบัติ ๕ องค์กรหลัก หน่วยสนับสนุนส่งเสริมและหน่วยตรวจสอบประเมินผลทั้งสามกลุ่มข้างต้นปฏิบัติภารกิจเสมือนให้เป็นโมเดลแบบอย่างต่อหน่วยงานย่อย โดยดำเนินการให้เป็นตามหลักการและเจตนารมณ์ของ พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ (และที่แก้ไขปรับปรุง พ.ศ.๒๕๔๕)เพื่อให้ผลผลิตปลายทางได้แก่ เยาวชน ผู้เรียนและประชาชนคนไทยทั้งประเทศเป็นคนเก่ง ดี มีสุข แล้วจะส่งผลต่อ
วิวัฒนธรรมการดำเนินงานของหน่วยต่างๆ
ดังนั้นการจัดให้มีการประชุมเมื่อ ๑๑-๑๒ ก.ย.๒๕๕๒โดยรมต.ศธ.เป็นผู้นำในการโฟกัสผลลัพธ์จากการดำเนินการจัดการศึกษาในรอบ ๑๐ปีที่ผ่านมาเพื่อที่จะกำหนดแนวทางปฏิรูป และวางกรอบนโยบายเพื่อให้เกิดเอกภาพภาคปฏิบัติซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ได้กำหนดเป็นประเด็นสำคัญใน 3 ประเด็นดังนี้
1. การเรียนการสอนทุกระดับทุกประเภท (ปรัชญาและจุดมุ่งหมาย โครงสร้าง หลักสูตรและเนื้อหาสาระ กระบวนการเรียนการสอน กิจกรรรม การเรียนนอกห้องเรียน การวัดและประเมินผล การสอบ NT ONET และ INET)
2. ระบบการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อทุกระดับทุกประเภท การสอบ GAT/PAT และการเชื่อมโยงสู่การเรียนการสอน ระบบการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ และความสอดคล้องกับความต้องการของสถาบัน สาขาวิชา และผู้เรียน
3. คุณภาพของผลผลิตจากระบบการศึกษา (ความสอดคล้องกับตลาดแรงงาน ระบบประกันคุณภาพภายในและภายนอก การเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ ความเชื่อมโยงของระบบการศึกษาและการทำงาน กรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ)
และท่านรัฐมนตรีในฐานะครูใหญ่เป็นประธานการประชุมได้สรุปประเด็นเพื่อให้การอภิปรายกระชับและตรงกับประเด็นปัญหาด้านการจัดการศึกษาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและเพื่อแสวงหาคำตอบเพื่อนำไปสังเคราะห์เพื่อดำเนินการในทางปฏิบัติอีก ๑ เดือนต่อไป โดยได้โฟกัสเป็น ๖ หัวข้อเรื่องดังนี้
1. การเรียนการสอนในปัจจุบัน สอนให้เด็กคิดวิเคราะห์หรือไม่ (หลักสูตร การเรียนการสอนเป็นอย่างไร)
2. การออกข้อสอบในปัจจุบัน ONET, GAT/PAT สอดคล้องกับการเรียนการสอนหรือเปล่า
3. เด็กเรียนในห้องเรียนมากไปหรือไม่ และการเรียนรู้นอกห้องเรียนควรทำอย่างไร
4. ระบบการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา GAT/PAT เหมาะสมหรือยัง สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็นหรือยัง (เช่น ลดอัตราการออกกลางคัน)
5. สถาบันอุดมศึกษาผลิตบัณฑิตมีคุณภาพตามความต้องการของประเทศหรือยัง
6. ระบบการวัดผล ประเมินผลในทุกมิติเป็นระบบหรือกระบวนการที่เที่ยงตรง แม่นยำ เหมาะสมหรือไม่
โดยสรุปจากที่ประชุมและให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมดังนี้
๑ การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันยังไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนโดยรวมคิดวิเคราะห์ยังไม่เป็นที่พึงพอใจ ต้องมีการปรับปรุงในกระบวนการเรียนการสอนของครูและบทบาทการบริหารจัดการของผู้บริหารโรงเรียน ทำอย่างไรที่จะให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน
เน้นผู้เรียนเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการศึกษา ส่วนกลาง
ทั้งสพฐ. และเขตพื้นที่ควรจะต้องหันกลับทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม จูงใจและปรับวัฒนธรรมการทำงาน โดยการกระจายอำนาจการตัดสินใจลงสู่โรงเรียนหรือหน่วยปฏิบัติตรงกับผู้เรียนให้มากที่สุด ครูและผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาและต้องมิใช่วิธีการอบรมพัฒนาเดิมๆตามรูปแบบที่เขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการที่ผ่านมา กระบวนส่งเสริมครูดี ครูเก่ง โรงเรียนดี โรงเรียนเด่น ผู้บริหารดี ผู้บริหารเด่น ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และพยายามสรรหา สร้างระบบเสริมเพื่อจูงใจให้ได้ คนดี คนเก่งมาเป็นครูและผู้บริหารโรงเรียน โดยเฉพาะผู้บริหารโรงเรียนที่จะใช้วิธีคัดเลือกและวิธีโยกย้ายเพื่อสับเปลี่ยนแบบเดิมโดยคำนึงแต่ปริมาณนักเรียนและความต้องการของผู้อยากโยกย้ายคงไม่ได้ผลเนื่องจากยังไม่ได้เน้นไปที่การแก้ปัญหาที่ผลผลิตและผลการดำเนินการอย่างแท้จริงเพียงแต่ส่งเสริมให้ผู้บริหารและครูมีความก้าวหน้าบนฐานของความพึงพอใจเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงส่งผลให้การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของการพัฒนาผู้เรียนมิได้ถูกดำเนินการนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญอย่างเต็มที่ การจัดการด้านการบริหารหลักสูตรจากส่วนกลางยังมิได้วิวัฒนธรรม คือยังเป็นการบริหารแบบจัดการ (Management)มากกว่าการบริหารแบบจูงใจ(Motivation) อาทิเช่นการจัดโครงสร้างเวลาเรียนและการกำหนดตัวชี้วัดมาตรฐานการเรียนรู้ชั้นปีในหลักสูตร 51ขาดการกระจายอำนาจไปสู่โรงเรียนเป็นลักษณะ Fix more than Flex
(flexible) และจะส่งผลต่อให้โรงเรียนเน้นด้านเนื้อหาวิชามากกว่ากระบวนการ
ซึ่งโดยที่ประชุมฯ เห็นว่าหลักสูตร 44ดีอยู่แล้วเพียงไปเน้นที่กระบวนการจัดการเรียนการสอน และพัฒนาโรงเรียนให้สามารถนำหลักสูตรไปใช้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แล้วผู้เรียนก็จะคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์เป็นและดีกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนดีๆน่าสนใจมากๆอยู่ทั่วไป อาทิเช่น ลำปลายมาศพัฒนา (โรงเรียนนอกกะลา) รุ่งอรุณ กลุ่มโรงเรียนสองภาษารูปแบบใหม่(EIS) เป็นต้น
๒. การออกข้อสอบในปัจจุบัน O-NET, GAT/PAT สอดคล้องกับการเรียนการสอนหรือไม่นั้น ถ้าผู้ปฏิบัติที่รับผิดชอบสามารถสะท้อนปัญหาข้อ ๑ ได้
และนำมาพัฒนาปรับปรุง จะเป็นระบบที่ส่งเสริมทักษะกระบวนการคิดของโรงเรียนและตอบปัญหาและพัฒนาการคิดของสังคมได้ ข้อเสนอแนะ ทำไมไม่ลองเอาระบบการสอบ PSLE, N- Level, O- Level, A-level ของประเทศสิงคโปร์มาศึกษา
ในฐานะที่ผู้นำเสนอได้นำระบบการจัดการศึกษาของสิงคโปร์มาประยุกต์ในกระบวนการจัดการเรียนรู้และกระบวนการวัดและประเมินผลในโรงเรียน ตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๖ พรบ.การศึกษาแห่งชาติฯ พบว่าตอบปัญหาข้อ ๑ ได้ครับ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://sites.google.com/site/surapongeisth
)
๓. ห้องเรียนที่เหมาะสมในสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบัน ห้องเรียนละไม่เกิน ๔๐ คน ยังสามารถดำเนินการได้ดี
เฉกเช่นสิงคโปร์ห้องเรียนละ ๔๐ คนเช่นกัน ถ้ายึดสมรรถนะผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนยึดผู้เรียนเป็นสำคัญไม่ทอดทิ้งนักเรียนคนใดคนหนึ่งไว้ข้างหลัง การจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียนต้องมากขึ้น แล้วนำระบบที่ได้รับการพัฒนาแล้วใน การจัดหลักสูตรข้อ ๑ และการจัดทดสอบในข้อ ๒ มาส่งเสริมและกำกับ ตรวจสอบ
๔.
ระบบการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนต่อยังขาดเอกภาพ หลากหลายมากเกินไป โดยเฉพาะ ระบบการคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ยังติดอัตตามากเกินไป ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ปกครองต้องดิ้นรน ขวนขวายส่งเสริมให้ลูกหลานได้เรียนระบบเสริมกล่าว คือ ระบบโรงเรียนเสริมกวดวิชาเพราะเป็นห่วงเรื่องการสอบ O-Net, GAT/PAT มากครั้งและการสอบตรงของแต่ละมหาวิทยาลัย ทำให้สูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ และทำให้คนยากจน และที่ห่างไกลขาดโอกาส และไม่ส่งเสริมระบบกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนโดยเฉพาะการสร้างให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ฯ ที่ประชุมเห็นว่าต้องมาโฟกัสระบบการคัดเลือกโดยเฉพาะเงื่อนของเวลาและความหลากหลายวิธีคัดของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเป็นเอกภาพ การสนับสนุนการเรียนรู้ในระบบโรงเรียน และส่งเสริมความเข้มแข็งทางด้านภูมิปัญญาของท้องถิ่นและสังคม เป็นไปได้หรือไม่ การคัดคนเข้าระบบอุดมศึกษาควรทำเป็น ๒ ทางเลือก คือ ประการแรกการรับตรง ต้องรับพร้อมกัน เพื่อสนับสนุนส่งเสริมท้องถิ่นและสังคมและปรัชญาของการบริการของมหาวิทยาลัย เฉกเช่นการรับนักเรียนของสพฐ.ในเขตพื้นที่บริการเป็นต้น และสองรับส่วนกลาง ทุกมหาวิทยาลัยรับพร้อมกันโดยทาง สกอ.เป็นผู้ดำเนินการเพื่อเปิดโอกาสให้ปัญญาชนทั่วทั้งประเทศได้เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยตามความสนใจ พึงพอใจ เครื่องมือการคัดเลือกใช้ พรบ.การศึกษาฯ มาตรา 26 เป็นหลักการ และนำผล O-Net, GAT/ PAT (จาก สทศ. ) และ GPAX บวกPortfolio ความดีของนักเรียนของโรงเรียน
มาประกอบการพิจารณา และการสอบ GAT/PAT ไม่ควรเกิน ๒ ครั้งในรอบปี
ประการสุดท้ายของหัวข้อนี้เห็นว่าการจัดการทดสอบ GAT ม.ต้น ควรได้รับการสนับสนุนเพื่อให้เป็นการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนและต้องสามารถคัดเลือก แยกแยะผู้เรียนได้ว่าคนใดสมควรเรียนต่อ ม.๔ เน้นวิชาการ หรือ ปวช.สายอาชีพ การจัดสอบ GAT ด้วยภาษาอังกฤษ ๕๐ % ขอให้เน้นด้านการสื่อสารใน ม.ต้น และต้องให้ธำรงไว้ต่อไป ซึ่งนอกจากจะทำให้โรงเรียนพัฒนากระบวนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แล้วยังเป็นการยกระดับคุณภาพและสมรรถนะของคนไทยเทียบเคียงประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในส่วนนี้ ถ้าผมมีโอกาสได้ส่งเสริมและพัฒนาโรงเรียนต่างๆในด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้เฉกเช่นที่ผมได้ทำมาที่โรงเรียนสุนทรภู่พิทยา จ.ระยอง เพียงไม่เกิน ๓ ปี ประชาชนคนไทยสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ถ้วนหน้า และผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนคณิต-วิทย์-ภาษาไทย สูงขึ้นอย่างแน่นอน
๕. คุณภาพผลผลิตของการจัดการศึกษาอุดมศึกษาโดยภาพรวมยังไม่สะท้อนต่อความต้องการของสังคมโดยรวม เห็นได้ชัดเช่นที่ผ่านมา ครูที่สังคมควรได้รับกลับมิใช่คนเก่งที่มีมันสมองระดับชั้นต้นๆ ผู้เรียนครูในคณะศึกษาศาสตร์โดยส่วนใหญ่คือผู้ที่จะเข้าศึกษาในคณะต่างๆไม่ได้แล้ว ดังนั้นต้องมีการปรับ พัฒนาและส่งเสริมค่านิยมอย่างแท้จริง ทำไมระบบการคัดสรรครูของสิงคโปร์ทำให้ได้คนเก่งคนดีมาเป็นครู หน่วยนโยบายน่าที่จะสนใจและทำได้ในการปฏิรูประบบรูปแบบใหม่ แต่เมื่อเห็นความพยายามของรมต.ศธ.ที่จะดำเนินการเอาคนเก่งคนดีมาเป็นครูในระยะ ๕ ปีต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ดีมากแต่อย่าลืมกลั่นครูน้ำเก่าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในโรงเรียน เดี๋ยวพอผสมปนเป แล้วจะเกิดครูพันธ์ทางที่ไม่พึงปรารถนา ทางแก้ไม่ยากครับเสริมสร้างโรงเรียนแนวใหม่เพื่อเป็นสถานประกอบการสำหรับรองรับการฝึกและถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับการเตรียมครูพันธ์ใหม่ครับ
๖. สำหรับข้อนี้ ต้องมีการพัฒนามิใช่ยกเลิกเพราะโดยโครงสร้างของหน่วยงานเป็นระบบอิสระเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบที่ถูกสังคมโดยเฉพาะหน่วยปฏิบัติสะท้อนอยู่ตลอดเวลาไม่น่าเป็นห่วงครับ แต่ถ้าระบบนี้ขาดหายไปอันตรายมากประเทศไทย
ในความคิดส่วนตัวในฐานะผู้ปฏิบัติในระดับโรงเรียน ผู้นำสถานศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการที่ขับเคลื่อนภารกิจให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพรบ.การศึกษา ฯ ตัวหลักสูตรแกนกลางเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของกระทรวงศึกษาธิการที่นำมาให้โรงเรียนมาขยายพิมพ์ให้พอเหมาะกับบริบทโรงเรียน ประเด็นคำถามสำคัญว่าระบบส่วนกลางได้สนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างให้ผู้บริหารโรงเรียนเข้าใจ ตระหนักและดำเนินการในการเป็นผู้นำด้านหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้อย่างเต็มที่หรือไม่และอย่างไร? ในยุคแห่งทศวรรษ Cyber Digit นี้ ผู้นำจำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีคิด ปรับวิธีทำงาน บูรณาการการบริหารจัดการที่คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลมุ่งเน้นในด้านผู้นำทางด้านกระบวนการเรียนรู้โดยมีส่วนร่วมในบริบทของ SBM (ตัว S ต้องคิดเป็นสองนัยคือ บนฐานของผู้เรียน และบริบทของโรงเรียน) กล่าวสั้นๆคือทำอย่างไรผู้บริหารโรงเรียนต้องใช้ภาวะผู้นำโน้มนาวให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนเห็นว่ากระบวนการเรียนรู้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อการเสริมสร้างสมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียนจำเป็นต้องให้เขาเหล่านั้นเข้าใจและกระจ่างในหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Development)
บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ดูภาพข้างล่างต่อไปนี้ครับ)
และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้สามารถสื่อสารเป็นภาษาที่สองผ่านทางระบบเครือข่ายอิเลคโทรนิค เพื่อให้เป็นผู้นำที่สอดรับและพร้อมนำในโลกยุค Cyber Digit และในที่สุดผู้นำเหล่านั้นจะนำพาครูและถ่ายทอดอารยะธรรมเหล่านี้สู่เยาวชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของกระทรวงศึกษาธิการครับ
สุดท้ายสำหรับกลยุทธ์ในการการกระจายอำนาจไปสู่หน่วยปฏิบัติที่ตรงต่อผู้รับบริการ
อยากเสนอแนะให้กระทรวงศึกษาธิการแปลงยุทธศาสตร์แบบมีส่วนร่วมเชิง Democracy ภายใต้การดำเนินการแบบ Decency สร้างระบบภูมิคุ้มกันแบบ Drug free ดำเนินการให้เห็นจริงในทางปฏิบัติ ผมเชื่อว่าทุกส่วนคงเข้าใจและนำ 3D ไปเป็นยุทธศาสตร์ในการดำเนินการได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น